ทัวร์ก๊าบๆ มินิซีรีย์ ...บทเรียนจากทริปครึ่งทวีป Outback Australia 2013
ตอนที่ 3.2 พาหนะในการเดินทาง
เฮ้อ! หลังจากเรื่องเศร้าๆ ของน้องแลนดี้ผ่านไปก็อย่างว่าน่ะครับ ฟ้าหลังฝน อะไรก็สวยเสมอ ในชีวิตถ้าจะมัวจมทุกข์นึกถึงแต่เรื่องเแย่ๆ เรื่องก่าๆ ที่เคยเจอมา ชีวิตเราก็คงเดินไปข้างหน้าไม่ได้ อะไรที่พลาพลั้งไปก็ถือเอาไว้ให้เป็นบทเรียนสอนตัวเองให้โตเป็นผู้ใหญ่ ให้พร้อมที่จะฝ่าฟันปัญหา นำพาคนที่เรารัก ให้ไปรอดปลอดภัยได้ จนกว่าฝนพายุใหม่จะก่อตัวแล้วกลับมาให้เราต้องฟันฝ่ามันไปอีก เพราะมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถเรียนรู้ จัดการ และอยู่กับมันได้
.
โห นอกเรื่องไปซ่ะทะเลดำเลย 55 มาๆ มาเข้าเรื่องก่อน
คราวนี้มาดูสาเหตุที่พวกเราเลือกคันใหม่ในทริปหน้า ซึ่งรถที่จับมาได้คราวนี้คือ Subaru Forester 2.5 x AWD ปี 2003 เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติตลอดเวลาที่พี่วุธไปรอดักซื้อรถราคาถูกสภาพน่าจะไปรอดกลับไหวมาได้ในเวปขายของมือสอง
รถคันนี้บอกเลยน่ะครับว่าไม่ใช่รถออฟโรค มันเป็นแค่รถแม่บ้านประมาณใช้ขับส่งลูกไปโรงเรียน จ่ายตลาด รถพวกนี้เค้าออกแบบมาให้เหมาะกับสภาวะภูมิประเทศที่ฝนตก ทางฝุ่นที่เปียกตลอดเวลา คือรถพวกนี้มันจะขจัดปัญหารถล้อฟรีไปได้ เวลาติดหล่มนิดๆ หน่อยๆ มันก็สามารถเอาตัวรอดไปได้ระดับนึง ที่สำคัญรถพวก AWD นี้จะใช้ดีมากในทางที่มีหิมะตกครับ
.
อยากให้เพื่อนๆ นึกถึงเมืองนอกที่มีหิมะตกปลอยๆ น่ะครับ แบบว่าแม่ขับรถไปรับลูกที่โรงเรียนตอนบ่ายๆ ตอนขาไปถนนเปียกๆ ธรรมดาไม่มีอะไร แต่ขากลับมาตอนเย็น อุณภูมิลดฮวบถนนกลายเป็นน้ำแข็งซ่ะงั้น รถที่ไม่ได้ออกแบบมาแบบนี้ต้องใช้โซ่พันล้อวิ่งน่ะครับ ไม่งั้นอันตรายมากๆ
.
พี่วุธกับพี่บาสก็เคยเจอเหตุการณ์นี้มาแล้ว กลับมาจากเล่นหิมะตอนเย็นๆ นี่แหละ คุยกันว่าจะเอาโซ่พันล้อหรือเปล่า เพราะเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าธรรมดา เห็นถนนเปียกๆ เลยคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรหรอก ขับแป็บเดียวก็ถึงตีนเขาแล้ว เลยพากันขับลงมาเลย พอถึงบางช่วงมันจะมีที่เป็นหุบเขาประมาณว่าตรงนั้นจะเย็นกว่าช่วงอื่น พื้นมันก็เริ่มเป็นน้ำแข็งบางส่วนแล้ว พอขับรถไปถึงเข้าโค้งเบรคปุ๊บ รถไปหยุดซิครับ รถไหล ปัดท้ายเกือบตกเขาหัวใจนี้ตอนนั้นลงไปกองกับต้นไม้ห้างทางแล้ว 55 โชดยังดีที่ไม่ได้ขับเร็วมาก เลยต้องได้ลงมุดเอาโซ่ไปพันล้อตอนมืดๆ เพื่อให้วิ่งลงเขาได้ แล้วคิดสภาพแม่บ้านขับรถกลับบ้านกลับลูกสองคน จะทำยังไง
.
แต่ๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่า เฮ้อยพวกพี่ทำไมไม่เอารถ 4x4 แท้ๆ จัดหนักๆ เอาสะใจ เหมือนรถคันเก่าของพี่บาสไปเลย ก็ตอบตรงๆ น่ะครับว่าพวกผมมีงบแค่นี้ครับ รถราคาประมาณ 4 พันเหรียญ ถ้าจะเอารถ 4x4 ก็น่าจะได้ปี 1990 รถเกือบยี่สิบปีถ้าจะเอาไปลุยแล้วซ่อมไม่เป็นนี่ ท่าทางจะรอดกลับมายากครับ 555 อีกอย่างต่อให้มีรถ 4x4 ถามพวกเพราว่าถ้าเจอทางโหดๆ แบบว่าลุยน้ำครึ่งคัน มุดโคลนแบบล้อจม ถามพวกเราจะไปมั๊ย ก็บอกตรงๆ เลยเจอทางแบบนั้นเปลี่ยนเส้นทางง่ายกว่า เพราะฉนั้น รถคันนี้ตอบโจทย์สำหรับทริปหน้าครับ จบข่าว
.
คราวนี้พวกเราก็ได้รถมาแล้ว เตรียมตัวออกทริปเตรียมจัดของที่จะประทังชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ซึ่งเรื่องการเตรียมของนี้จะมาเล่าให้ฟังอีกทีบทความหน้าน่ะครับ ตอนนี้เรามาพูดถึงว่า เอารถออกไปทริปแล้วจะรอดกลับมายังไงก่อน อิอิ
ทริปนี้พวกเราจะใช้ระยะทางเดินทางทั้งหมดประมาณ 20,000 กิโลเมตร ..พิมพ์ไม่ผิดหรอกครับ (สองหมื่นกิโลเมตร ประมาณนั้น)
ซึ่งในระหว่างทริปเราจะทำยังไงล่ะ ที่จะทำให้รถพวกเราไม่เสีย ไม่พัง ไม่ต้องกินข้าวลิงกลางทาง คือแค่คิดเล่นๆ ถ้าต้องเครื่องเสียอยู่กลางทะเลทรายที่ห่างจากชุมชนกว่าหลายร้อยกิโลเมตร มันคงเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเท่าไหร่แน่นอน เพราะเพื่อนๆ ที่เคยดูคลิปของพวกเราก็คงพอจะนึกภาพตามออกว่าถ้ารถเจ๊งมา จะอยู่กันยังไง นั่นคือเรื่องที่พวกเราห่วงกันมาที่สุด
แผนการที่เราคุยกันก็คือ
ก่อนจะออกทริปพวกเราจะเอารถไปเข้าศูนย์บริการให้เค้าเช็คให้อย่างละเอียดอีกรอบ โดยน่าจะเปลี่ยนระบบของเหลวพวกน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ทั้งหมด เช็คระบบไฟ เบรค เครื่องงยนต์ เช็คทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่ารถเราพร้อมชัวร์ แล้วที่เหลือ ในระหว่างการเดินทาง ทุกๆ 5000 กิโลเมตร พวกเราก็จะเอารถไปเข้าศูนย์เช็คสภาพอีกครั้ง เช็คจำพวกกรองอากาศ กรองน้ำมัน สลับยาง และเบรค
.
สรุปรวมๆ พวกเราน่าจะได้เข้าศูนย์บริการประมาณสามครั้งภายในสองเดือน ซึ่งก็ต้องทำใจแหละครับกับเงินที่เสียไปเพื่อแลกกับความมั่นใจของพาหนะ
และแน่นอนการวางแผนการเดินทางในแต่ละวัน ในแต่ละเส้นทางพวกเราก็จะปรับเปลี่ยนใหม่หมดเลย เพื่อไม่ให้มีโอกาศเกิดโศกนาฏกรรมเดียวกับน้องแลนดี้ ที่ทริปครั้งก่อน ขับทรหดกันเกินไปจนเกียร์พังซ่ะจนต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันอย่างที่เพื่อนๆ เห็น
.
จากบทเรียนครั้งนั้นทำให้พวกเราวางแผนกันใหม่ว่า ทริปการเดินทางของพวกเราครั้งนี้มีระยะทางเดินทางมากขึ้นหนึ่งเท่า แต่พวกเรามีเวลามากกว่าเดินสามเท่า นั่นหมายถึงว่าเราสามารถจัดการๆ เดินทางในแต่ละวันให้สั้นลง จากที่ต้องวิ่งวันล่ะ 5-6 กิโลฯ ก็อาจจะเหลือแค่ 3-4 ร้อย กิโลเมตรต่อวัน ซึ่งจะส่งผมดีต่อรถพวกเรามาก ที่ไม่ต้องสมบุกสมบันขนาดครั้งที่แล้ว และยังทำให้มีเวลาเหลือมาเพิ่มในการถ่ายวีดีโอ เก็บภาพรายละเอียดสวยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งมันส่งผลดีกับทุกๆ อย่าง ในทริป กว่าการไปตะบี๊ตะบันขับแบบเร่งรีบเป็นไหนๆ
.
เพราะฉนั้น บทสรุปของบทความนี้เรื่องการหารถไปออกทริป พวกเราบอกได้จากประสบการณ์เลยว่า รถจะเอาไปตลุย Road Trip อะไรก็เอาไปได้ทั้งนั้นครับ ไม่จำเป็นต้องเป็น Offroad ล้อโตๆ แต่งโหดๆ แค่รถแม่บ้าน รถตู้ หรือรถเก่งเก่าๆ ก็เอาไปได้ทั้งนั้นครับ แค่เราวางแผนการเดินทางให้สอดคล้องกับความสามารถของพาหนะที่มีอยู่ และรู้ขีดจำกัดของมันว่ามันทำได้แค่ไหน ดูแลตัวเองและเพื่อนร่วมทีม อย่าพยายามเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยง ที่สำคัญต้องปฏิบัติและเคารพกฏข้อบังคับของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด รับรองได้ว่าทริปของเพื่อนๆ จะสนุก ตื่นเต้นและปลอดภัยแน่นอนครับ
.
สุขสันต์วันปีใหม่ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงทุกคนน่ะครับ
ทัวร์ก๊าบๆ